วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โครงงานรักการอ่าน


โครงงานรักการอ่าน
จัดทำโดย
น.ส เสาวภา พันธมาศ
น.ส  สุดารัตน์ เช่นรัมย์

ความเป็นมาและความสำคัญของโครงงาน
        พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งระบุไว้ในหมวด 4 ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษามาตรา 24(3) ที่กำหนดว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
        กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงการจัดการศึกษาตามแนวปฏิรูป กำหนดให้สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ทุกด้านไว้ในทุกวิชา ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียนและอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มีความรอบรู้และจัดการเรียนรู้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2546 : 12) นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการปฏิรูปการศึกษา โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่สำคัญคือเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนและแสวงหาความรู้ที่มีคุณค่าในการดำรงชีวิตการทำงานและการพัฒนาสติปัญญา ดังนั้นการอ่านจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ทางวิชาการและข้อมูลข่าวสารต่างๆ และนำความรู้ที่ได้ จากการอ่านศึกษาค้นคว้ามาพัฒนาความคิดได้อย่างเหมาะสมมีคุณค่าต่อตนเองและส่วนรวม(กรมวิชาการ, 2545 : 1)
                การอ่านเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาสติปัญญาของคนในสังคม การอ่านทำให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม และค่านิยมต่างๆ รวมทั้งช่วยในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต การอ่านจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง ความเป็นจริงการอ่านไม่ได้มีความสำคัญต่อนักเรียนหรือนักศึกษาเทานั้น แต่บุคคลทั่วไปก็อาจแสวงหาความรู้ได้ด้วยการอ่าน การอ่านเป็นสื่อกลางของการเรียนรู้ ผู้อ่านมากย่อมรู้มาก และถ้านำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ต่อสังคม สังคมนั้นย่อมมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควรอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่งเยาว์วัย จึงเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งการอ่านยังเป็นหัวใจของการจัดกิจกรรมทั้งหลายในการเรียนการสอนและมีความสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญอันจะส่งผลต่อการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้โดยเฉพาะระดับประถมศึกษาหากเริ่มต้นดี รากฐานการอ่านของเด็กก็จะดี(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2549 : 1)

 วัตถุประสงค์ของโครงการ
     2.1 เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือ
     2.2 เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน
   2.3 เพื่อประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน จัดทำบันทึกการอ่านและนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน
     2.4 เพื่อให้นักเรียนรู้จักจับใจความสำคัญจากการอ่าน การฟัง การดูและการพูดมีความรู้ความเข้าใจในวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้
2.5 เพื่อให้รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยมีแหล่งค้นคว้าหาความรู้ ส่งเสริมและฝึกกิจกรรมให้เป็นบุคคลที่คิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาได้ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
   - นักศึกษารู้จักใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือด้วยตนเอง
  - นักศึกษาเห็นคุณค่าของการอ่านและมีนิสัยรักการอ่าน
- นักศึกษาเข้ามาใช้บริการในห้องสมุดมากขึ้น


แนวทางการดำเนินงาน   ขั้นตอนสำคัญ
     1. ประชุมคณะครูเพื่อทราบโครงการรับนโยบาย
     2. จัดหาทรัพยากรสารสนเทศสื่อสิ่งพิมพ์และเทคโนโลยี
     3. แสวงหาความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
    4. จัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
    5. จัดทำห้องสมุดและการประกวดอ่านคล่องเขียนคล่อง
    6. จัดกิจกรรมอนุรักษ์ภาษาไทยวัฒนธรรมไทย
    7. แก้ไขปัญหานักเรียนที่อ่านเขียนไม่คล่อง
    8.  ติดตามประเมินผลจัดทำรายงาน
        

ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังนี้

               สภาพก่อนการพัฒนาดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการอ่าน คือนักศึกษาไม่มีนิสัยรักการอ่าน ไม่สนใจการอ่าน ไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน และไม่มีการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเอง เมื่อดำเนินการเพื่อส่งเสริมการอ่านด้วยการจัดกิจกรรมห้องสมุดเชิงรุก เสียงตามสาย และการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ปรากฏว่านักศึกษามีความสนใจในการอ่าน เห็นความสนใจของการอ่าน และมีการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความกระตือรือร้นในการอ่าน และมีความสุขในการร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมากขึ้น แต่ยังมีจุดอ่อนคือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านยังไม่หลากหลาย ห้องสมุดมหาวิทยาลัยยังมีหนังสือให้นักศึกษาค้นคว้าน้อย นักศึกษาสนใจอ่านเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเห็นความสำคัญในการอ่านเฉพาะกิจกรรมที่ร่วมนำเสนอเท่านั้น ส่วนการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเอง นักศึกษาได้รับพัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง

กิจกรรมเสนอแนะ
        การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน นับว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยให้การมีความสนุกสนานเพลิดเพลินและเป็นแรงจูงใจให้ผู้อ่านได้อ่านอย่างมีความสุข ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านนั้น มักมีกิจกรรมที่คล้ายกันหรือซ้ำกัน อาจสรุปประเภทของกิจกรรมส่งเสริมการอ่านได้ดังนี้
1. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเน้นทักษะการอ่าน
     - เล่านิทาน
      - เชิดหุ่น
     - Reading Rally ว่างจากงาน อ่านทุกคน
     - แข่งขันตอบปัญหา
     - ห้องสมุดเคลื่อนที่
     - ค่ายรักการอ่าน
     - แข่งขันตอบคำถามในสารานุกรม
     - ยอดนักอ่าน ฯลฯ
2. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นการเผยแพร่ข่าวสาร
     - เสียงตามสาย
     - วันสำคัญ
     - ย่ามหนังสือสู่ชุมชน
     - แหล่งความรู้ในท้องถิ่น
     - นิทรรศการ ฯลฯ
3. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นการแก้ไข และพัฒนา
      - คลินิกหมอน้อย
      - พี่ช่วยน้อง
      - ให้ความรู้การใช้ห้องสมุด
      - แข่งขันเปิดพจนานุกรม ฯลฯ
4. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นพัฒนาทักษะอันต่อเนื่อง
       - หนูน้อยนักล่า
       - เล่าเรื่องจากภาพ
       - โต้วาที
       - เรียงความยุวทูตความดี
       ยังมีอีกหลายกิจกรรมในการส่งเสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่าน แทนที่จะปล่อยเวลาว่างทิ้งไปให้เปล่าประโยชน์ แต่หันมาหยิบหนังสืออ่านแทน ไม่นานเราก็จะติดเป็นนิสัย จนกลายเป็นคนรักการอ่านในที่สุด