โครงงานรักการอ่าน
จัดทำโดย
น.ส เสาวภา พันธมาศ
น.ส สุดารัตน์ เช่นรัมย์
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงงาน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งระบุไว้ในหมวด 4 ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษามาตรา
24(3) ที่กำหนดว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
กระทรวงศึกษาธิการ
ได้กล่าวถึงการจัดการศึกษาตามแนวปฏิรูป
กำหนดให้สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ
จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ทุกด้านไว้ในทุกวิชา ส่งเสริมให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ
สภาพแวดล้อมสื่อการเรียนและอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
มีความรอบรู้และจัดการเรียนรู้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2546 : 12) นอกจากนี้
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการปฏิรูปการศึกษา โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่สำคัญคือเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนและแสวงหาความรู้ที่มีคุณค่าในการดำรงชีวิตการทำงานและการพัฒนาสติปัญญา
ดังนั้นการอ่านจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ทางวิชาการและข้อมูลข่าวสารต่างๆ
และนำความรู้ที่ได้ จากการอ่านศึกษาค้นคว้ามาพัฒนาความคิดได้อย่างเหมาะสมมีคุณค่าต่อตนเองและส่วนรวม(กรมวิชาการ, 2545 : 1)
การอ่านเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาสติปัญญาของคนในสังคม
การอ่านทำให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม
และค่านิยมต่างๆ รวมทั้งช่วยในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต
พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต การอ่านจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง
ความเป็นจริงการอ่านไม่ได้มีความสำคัญต่อนักเรียนหรือนักศึกษาเทานั้น
แต่บุคคลทั่วไปก็อาจแสวงหาความรู้ได้ด้วยการอ่าน
การอ่านเป็นสื่อกลางของการเรียนรู้ ผู้อ่านมากย่อมรู้มาก และถ้านำความรู้นั้นมาใช้ประโยชน์ต่อสังคม
สังคมนั้นย่อมมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควรอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการปลูกฝังให้รักการอ่านตั้งแต่งเยาว์วัย
จึงเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
อีกทั้งการอ่านยังเป็นหัวใจของการจัดกิจกรรมทั้งหลายในการเรียนการสอนและมีความสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ
การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญอันจะส่งผลต่อการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้โดยเฉพาะระดับประถมศึกษาหากเริ่มต้นดี
รากฐานการอ่านของเด็กก็จะดี(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2549 : 1)
วัตถุประสงค์ของโครงการ
2.1
เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือ
2.2 เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน
2.3 เพื่อประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน
จัดทำบันทึกการอ่านและนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2.4 เพื่อให้นักเรียนรู้จักจับใจความสำคัญจากการอ่าน
การฟัง การดูและการพูดมีความรู้ความเข้าใจในวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้
2.5
เพื่อให้รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยมีแหล่งค้นคว้าหาความรู้
ส่งเสริมและฝึกกิจกรรมให้เป็นบุคคลที่คิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาได้ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
-
นักศึกษารู้จักใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือด้วยตนเอง- นักศึกษาเห็นคุณค่าของการอ่านและมีนิสัยรักการอ่าน
- นักศึกษาเข้ามาใช้บริการในห้องสมุดมากขึ้น
แนวทางการดำเนินงาน ขั้นตอนสำคัญ
1. ประชุมคณะครูเพื่อทราบโครงการรับนโยบาย
2. จัดหาทรัพยากรสารสนเทศสื่อสิ่งพิมพ์และเทคโนโลยี
3. แสวงหาความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
4. จัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
5. จัดทำห้องสมุดและการประกวดอ่านคล่องเขียนคล่อง
6. จัดกิจกรรมอนุรักษ์ภาษาไทยวัฒนธรรมไทย
7. แก้ไขปัญหานักเรียนที่อ่านเขียนไม่คล่อง
8. ติดตามประเมินผลจัดทำรายงาน
1. ประชุมคณะครูเพื่อทราบโครงการรับนโยบาย
2. จัดหาทรัพยากรสารสนเทศสื่อสิ่งพิมพ์และเทคโนโลยี
3. แสวงหาความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
4. จัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
5. จัดทำห้องสมุดและการประกวดอ่านคล่องเขียนคล่อง
6. จัดกิจกรรมอนุรักษ์ภาษาไทยวัฒนธรรมไทย
7. แก้ไขปัญหานักเรียนที่อ่านเขียนไม่คล่อง
8. ติดตามประเมินผลจัดทำรายงาน
ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังนี้
สภาพก่อนการพัฒนาดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการอ่าน
คือนักศึกษาไม่มีนิสัยรักการอ่าน ไม่สนใจการอ่าน ไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน และไม่มีการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเอง
เมื่อดำเนินการเพื่อส่งเสริมการอ่านด้วยการจัดกิจกรรมห้องสมุดเชิงรุก เสียงตามสาย
และการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ปรากฏว่านักศึกษามีความสนใจในการอ่าน
เห็นความสนใจของการอ่าน และมีการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความกระตือรือร้นในการอ่าน
และมีความสุขในการร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมากขึ้น แต่ยังมีจุดอ่อนคือ
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านยังไม่หลากหลาย ห้องสมุดมหาวิทยาลัยยังมีหนังสือให้นักศึกษาค้นคว้าน้อย
นักศึกษาสนใจอ่านเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเห็นความสำคัญในการอ่านเฉพาะกิจกรรมที่ร่วมนำเสนอเท่านั้น
ส่วนการพยายามพัฒนาการอ่านของตนเอง นักศึกษาได้รับพัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง
กิจกรรมเสนอแนะ
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
นับว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยให้การมีความสนุกสนานเพลิดเพลินและเป็นแรงจูงใจให้ผู้อ่านได้อ่านอย่างมีความสุข
ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านนั้น มักมีกิจกรรมที่คล้ายกันหรือซ้ำกัน
อาจสรุปประเภทของกิจกรรมส่งเสริมการอ่านได้ดังนี้
1. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเน้นทักษะการอ่าน
- เล่านิทาน
- เชิดหุ่น
- Reading Rally ว่างจากงาน อ่านทุกคน
- แข่งขันตอบปัญหา
- ห้องสมุดเคลื่อนที่
- ค่ายรักการอ่าน
- แข่งขันตอบคำถามในสารานุกรม
- ยอดนักอ่าน ฯลฯ
- เล่านิทาน
- เชิดหุ่น
- Reading Rally ว่างจากงาน อ่านทุกคน
- แข่งขันตอบปัญหา
- ห้องสมุดเคลื่อนที่
- ค่ายรักการอ่าน
- แข่งขันตอบคำถามในสารานุกรม
- ยอดนักอ่าน ฯลฯ
2. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นการเผยแพร่ข่าวสาร
- เสียงตามสาย
- วันสำคัญ
- ย่ามหนังสือสู่ชุมชน
- แหล่งความรู้ในท้องถิ่น
- นิทรรศการ ฯลฯ
- เสียงตามสาย
- วันสำคัญ
- ย่ามหนังสือสู่ชุมชน
- แหล่งความรู้ในท้องถิ่น
- นิทรรศการ ฯลฯ
3. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นการแก้ไข
และพัฒนา
- คลินิกหมอน้อย
- พี่ช่วยน้อง
- ให้ความรู้การใช้ห้องสมุด
- แข่งขันเปิดพจนานุกรม ฯลฯ
- คลินิกหมอน้อย
- พี่ช่วยน้อง
- ให้ความรู้การใช้ห้องสมุด
- แข่งขันเปิดพจนานุกรม ฯลฯ
4. กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เน้นพัฒนาทักษะอันต่อเนื่อง
- หนูน้อยนักล่า
- เล่าเรื่องจากภาพ
- โต้วาที
- เรียงความยุวทูตความดี
- หนูน้อยนักล่า
- เล่าเรื่องจากภาพ
- โต้วาที
- เรียงความยุวทูตความดี
ยังมีอีกหลายกิจกรรมในการส่งเสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่าน
แทนที่จะปล่อยเวลาว่างทิ้งไปให้เปล่าประโยชน์ แต่หันมาหยิบหนังสืออ่านแทน
ไม่นานเราก็จะติดเป็นนิสัย จนกลายเป็นคนรักการอ่านในที่สุด